เกี่ยวกับโครงการ
สื่อโครงการ
เครื่องมือและกลไกที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ SME
ข่าวสารและความรู้ทั่วไป
ข่าวสารกิจกรรม
วีดีโอ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แบบสอบถามและแบบประเมิน
ติดต่อเรา
เกี่ยวกับโครงการ
สื่อโครงการ
เครื่องมือและกลไกที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ SME
ข่าวสารและความรู้ทั่วไป
ข่าวสารกิจกรรม
วีดีโอ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แบบสอบถามและแบบประเมิน
ติดต่อเรา
เกี่ยวกับโครงการ
Strengthening SMEs in mitigating and adapting to climate change
เกี่ยวกับโครงการ
หลักการและเหตุผล/ความสำคัญของโครงการ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) นับเป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ในทุกภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้วยเหตุนี้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) ร่วมกับองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization: WMO) จึงได้จัดตั้งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) เพื่อเป็นหน่วยงานกลางในการศึกษาให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ทั้งในด้านเทคนิค เศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change) หรือ อนุสัญญา UNFCCC จึงได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2535 และเปิดให้รัฐภาคีลงนามในอีกหนึ่งเดือนต่อมาระหว่างการประชุม United Nations Conference on Environment and Development (UNCED) หรือที่รู้จักกันในนามของ Earth Summit ณ นครริโอเดอ-จาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยอนุสัญญา UNFCCC มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 21 มีนาคม 2537 ปัจจุบันมีประเทศเข้าร่วมรวมทั้งสิ้นจำนวน 197 ประเทศ (ณ วันที่ 1 มกราคม 2559) ประเทศไทยได้ให้สัตบาบันเข้าร่วมเป็นรัฐภาคีอนุสัญญาเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2537 และส่งผู้แทนประเทศเข้าร่วมการประชุมสมัชชารัฐภาคีอนุสัญญาฯ (Conference of the Parties) หรือ COP ตลอดมา ในภายหลังได้มีข้อตกลงระหว่างประเทศอีกหลายฉบับที่ส่งผลต่อประเทศต่างๆ ตามมา อาทิ พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ข้อแก้ไขโดฮา (Doha Amendment to the Kyoto Protocol) และความตกลงปารีส (ประเทศไทยให้สัตยาบันในความตกลงปารีสเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559) ทั้งนี้ ในข้อ 4 ของความตกลงปารีสได้กำหนดให้แต่ละภาคีต้องจัดทำ แจ้ง และจัดให้มีการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally determined contributions: NDCs) อย่างต่อเนื่อง โดยแจ้งทุกๆ 5 ปี ซึ่งประเทศไทย ได้นำส่ง NDCs ฉบับแรกเมื่อ 1 ตุลาคม 2558 โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20 จากปริมาณการปล่อยก๊าซในกรณีปกติ (Business As Usual; BAU) ภายในปี 2573 และจะสามารถลดการปล่อยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 ภายใต้กลไกการสนับสนุนต่างๆ จาก UNFCCC
ในปี 2557 IPCC ได้รายงานในรายงานการประเมินสถานการณ์ฉบับที่ 5 ว่าประเทศไทยรวมถึงประเทศในกลุ่ม ASEAN มีแนวโน้มความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับสูง โดยใน 10 อันดับประเทศที่ได้รับผลกระทบสูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีประเทศในภูมิภาคอาเซียนถึง 4 ประเทศ ได้แก่ พม่า ฟิลิปินส์ เวียดนาม และไทย ที่ผ่านมาประเทศในกลุ่มอาเซียนเผชิญกับภัยภิบัติทางธรรมชาติมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง ดินถล่ม พายุต่างๆ ซึ่งนับวันก็จะทวีความรุนแรงและมีแนวโน้มของความถี่ที่สูงขึ้น ภัยภิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศในกลุ่มอาเซียน อาทิ พายุไซโคลนนากิซถล่มประเทศพม่าในปี 2551 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90,000 ราย มีผู้สูญหายกว่า 44,000 ราย ก่อให้เกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 10,000 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2552 ประเทศอิโดนีเซียประสบกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงที่สุดสูงกว่าในปี 2559 และต้นปี 2561 ที่ผ่านมาที่ทำให้ผู้คนหลายพันคนต้องอพยพหนีน้ำท่วมและดินไหล หรือในประเทศฟิลิปปินส์ซึ่เป็นประเทศที่รับจำนวนพายุสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ในปี 2549 ประเทศฟิลิปปินส์ประสบกับภัยธรรมชาติจากพายุไซโคลน Durian ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,000 คน เกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งพายุดังกล่าวก็ขึ้นฝั่งไปทำให้เกิดความเสียหายและมีผู้เสียชีวิตในประเทศเวียดนามอีกกว่า 70 ราย ในส่วนของประเทศไทย ในปี 2554 ประเทศไทยตอนบนและตอนกลางประสบกับปัญหาน้ำท่วมรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ส่งผลให้เกิดการชะงักตัวของเศรษฐกิจและเกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมหลายประเภท
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SMEs (Small and Medium Enterprises) มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยในแง่การจ้างงาน เป็นแหล่งฝึกอาชีพ เป็นหน่วยเชื่อมโยงกับกิจการขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มมูลค่าให้วัตถุดิบในประเทศ รวมทั้งสร้างรายได้ให้ประเทศโดยเฉพาะภาคการผลิตเพื่อการส่งออก โดยในปี 2559 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รายงานจำนวนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งหมด 3,004,679 ราย คิดเป็นร้อยละ 99.7 เมื่อเทียบกับวิสาหกิจทั้งหมดของประเทศ โดยมีการกระจายตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 25 ภาคกลางร้อยละ 21 กรุงเทพมหานครร้อยละ 18 ภาคเหนือร้อยละ 17 ภาคใต้ร้อยละ 13 และภาคตะวันออกร้อยละ 6 โดยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีการสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) 11.398 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.4 ของ GDP ประเทศ โดยมูลค่าการส่งออกของ SMEs มีมูลค่าเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.0 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย และมีมูลค่าการนำเข้าคิดเป็นสัดส่วนร่อยละ 35.5 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด
ภัยธรรมชาติอันเนื่องมาจากการเปลี่นแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนแล้วยังส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมโดยทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง ทำให้สินค้าหรือทรัพย์สินของกิจการเสียหาย ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อการอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาวได้ นอกจากนี้วิสาหกิจและภาคธุรกิจต่างๆ ยังมีความเสี่ยงของธุรกิจในด้านอื่นๆ ที่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีก อาทิ ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตลาด ความเสี่ยงทางด้านการเงิน หรือความเสี่ยงต่อการผันผวนทางเศรษฐกิจ การสร้างความตระหนักรู้ให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งในด้านของการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดอัตราการเกิดและความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และในด้านของการปรับตัวรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้สามารถฟื้นตัวได้เร็วหรือได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ทั้งนี้เพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจของไทยในอนาคต
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เป็นองค์กรวิจัยและพัฒนาของไทย มีวิสัยทัศน์ในการบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อสร้างสังคมนวัตกรรมอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2506 และได้ทำการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในด้านต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องในหลายๆ ด้าน ทั้งในด้านอาหาร เกษตร เภสัชกรรม บรรจุภัณฑ์ พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวาระของการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้น วว. ได้ทำการวิจัยพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง มีเทคโนโลยีที่มีความพร้อมในทุกระดับตั้งแต่ในระดับวิจัยจนถึงการออกสู่เชิงพาณิชย์ อาทิ เทคโนโลยีการผลิตไบโอก๊าซ การจัดการขยะชุมชนอย่างยั่งยืน การผลิตไบโอดีเซล การผลิตไบโอเมทานอล การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยสาหร่าย การจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่ต่างๆ อาทิ อุทยานแห่งชาติ พื้นที่แรมซาร์ไซต์ และการจัดทำมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อตอบสนองต่อ NDCs ที่ได้นำเสนอตามข้อตกลงปารีส รวมไปถึงการประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมศักยภาพในการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยรวมถึงประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยเช่นกัน
วัตถุประสงค์
1. เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย
2. เพื่อสร้างศักยภาพในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย
3. เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาควิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย
4. เพื่อเป็นต้นแบบในการลดผลกระทบและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อการประยุกต์ใช้กับประเทศในภูมิภาคอาเซียน
ลักษณะการดำเนินงาน
การดำเนินการศึกษาโครงการประกอบไปด้วยองค์ประกอบของงาน 5 ส่วน ได้แก่
1. การดำเนินการเก็บรวมรวม วิเคราะห์ข้อมูล และจำแนกข้อมูลประเภทและความเสี่ยงจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
2. การจัดทำแนวทางการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในภาควิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวและรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในรูปแบบของ Tools หรือ Guidelines
3. การสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยจัดกิจกรรมในรูปแบบของการเผยแพร่ข้อมูลด้วยสื่อดิจิทัล และการจัดประชุมสัมมนา
4. การเสริมสร้างศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการนำแนวทางที่ได้จัดทำมาเผยแพร่ให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในลักษณะของการเผยแพร่ทางสื่อดิจิทัล และการจัดประชุมสัมมนา
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ
1. ความตระหนักรู้ของภาควิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในด้านของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนำไปสู่ความร่วมมือในการลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
2. ศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการปรับตัวและรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกในเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว